ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA, 2022) ระบุว่า เด็กไทยกว่า 70% ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันในการเล่นเกม และในบางกรณีมีเด็กที่เล่นมากถึง 6–8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งนี้กลายเป็นความกังวลของผู้ปกครองว่า “ลูกติดเกม” และส่งผลต่อการเรียน แต่หากมองอีกมุม เวลาที่ใช้กับหน้าจออาจเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่าได้ ถ้าเราแปลงจาก “เล่นอย่างเดียว” → “สร้างด้วยโค้ดดิ้ง”
เล่นเกม vs โค้ดดิ้ง
- การเล่นเกม → เด็กเป็นผู้บริโภค ได้ความสนุก ได้ทักษะบ้างเรื่องการตัดสินใจ แต่ไม่เหลือผลงานจับต้องได้
- การเรียนโค้ดดิ้ง → เด็กเป็นผู้สร้าง ได้ทั้งความสนุก ความคิดสร้างสรรค์ ผลงานจริงที่นำไปโชว์พ่อแม่ โรงเรียน หรือแม้แต่ใส่ในแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
ตัวอย่างจริง
เด็กชายวัย 10 ปีที่ CIY.Club เคยใช้เวลาเล่น Minecraft วันละ 4 ชั่วโมง หลังจากพ่อแม่ให้ลองเข้าเรียนโค้ดดิ้ง เขาเปลี่ยนจากการ “เล่นตาม” มาเป็น “สร้างเมืองจำลอง” ด้วยตนเอง ทั้งการออกแบบบ้าน ระบบไฟฟ้า และรางรถไฟ ผลงานของเขากลายเป็นจุดประกายให้เพื่อนๆ อยากลองสร้างบ้าง และทำให้เขามีความมั่นใจในการเล่าเรื่องผลงานต่อหน้าคนอื่น
สถิติและงานวิจัยสนับสนุน
- งานวิจัยจาก University of Glasgow (2017) พบว่า การเรียนโค้ดดิ้งช่วยพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารและการทำงานเป็นทีมได้ดีกว่าการเล่นเกมเพียงอย่างเดียว
- Code.org รายงานว่า เด็กที่เรียนโค้ดดิ้งตั้งแต่อายุ 8–12 ปี มีแนวโน้มที่จะเลือกอาชีพด้าน STEM มากกว่าเด็กทั่วไปถึง 3 เท่า
- ในไทยเอง โครงการ Coding Thailand ของ สพฐ. ก็ยืนยันว่า โค้ดดิ้งช่วยฝึกให้เด็กคิดอย่างมีระบบและลดพฤติกรรมการใช้หน้าจอแบบ “ไร้เป้าหมาย”
ทำไมควรเปลี่ยน “เล่นเกม” เป็น “โค้ดดิ้ง”?
- เพิ่มคุณค่าให้เวลาหน้าจอ – จากเล่นเกม → สร้างเกม
- สร้างความภูมิใจ – เด็กเห็นผลงานตัวเอง → เกิดแรงบันดาลใจเรียนต่อ
- ต่อยอดในอนาคต – ผลงานสามารถใช้เป็น Portfolio สมัครเรียนต่อ
- ความสุขร่วมกันในครอบครัว – พ่อแม่ได้เห็นผลงานลูก ไม่ใช่แค่จับตาดูว่าเล่นเกมอะไร
ลองเปลี่ยนเวลาหน้าจอของลูกให้กลายเป็นการสร้างสิ่งใหม่ จองคลาสทดลองฟรี กับ CIY.Club วันนี้ แล้วคุณจะเห็นว่าลูกมีศักยภาพซ่อนอยู่มากแค่ไหน